4 สารต้องห้าม ที่ห้ามใส่ในเครื่องสำอาง/สกินแคร์

ในยุคปัจจุบันเป็นยุคที่สามารถเข้าถึงเครื่องสำอางและสกินแคร์ได้ง่าย และแบรนด์ใหม่ๆเกิดขึ้นในตลาดทุกวัน เพียงแค่คลิกเดียวก็ได้ผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการแล้ว แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบรนด์ที่เราสนใจนั้นปลอดภัยจริงๆ ไม่ได้แอบใส่สารอันตรายต่อผิวหน้าของเราในภายหลัง เพราะในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีโรงงานผลิตสกินแคร์และเครื่องสำอางรวมถึงแบรนด์ ได้แอบใส่สารต้องห้ามเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีผลลัพธ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ เห็นผลทันใจ โดยไม่ได้คิดถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับลูกค้า จุดประสงค์ทั้งหมดเพียงเพื่อยอดขาย กำไรอันมหาศาลนั่นเอง วันนี้หมอเนมเลยจะมาเล่าว่า มีสารอันตรายอะไรบ้างที่มักจะถูกใส่ไปในเครื่องสำอางและสกินแคร์ในท้องตลาดไทยของเรา

สเตียรอยด์ (Steroid)

สเตียรอยด์จัดอยู่ในกลุ่มยาที่ใช้อย่างแพร่หลายในวงการแพทย์ มีประโยชน์ในการรักษาโรคอันหลากหลาย รวมถึงมีบทบาทอย่างมากในการรักษาโรคทางผิวหนัง คุณสมบัติหลักช่วยในการลดการอักเสบของผิว ซึ่งทำให้เจ้าของแบรนด์หรือโรงงานได้นำคุณสมบัตินี้มาใส่ในผลิตภัณฑ์ ทำให้หน้าขาวไว สิวยุบไว ผิวหน้าเนียนขาวใสอย่างรวดเร็วในหลักวัน

แต่เมื่อผู้ใช้ทาครีมที่ผสมสารสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องหลายสัปดาห์-เดือน อาการของสเตียรอยด์จะเริ่มแสดงออกให้เห็น
– ผิวเกิดรอยขาว
– ผิวบางลง เส้นเลือดฝอยขยาย
– ผิวไวต่อสิ่งกระตุ้น หน้าแสบแดง
– กดการทำงานของต่อมหมวกไต

และกลุ่มอาการที่พบเจอได้บ่อยๆในครีมสเตียรอยด์คือ สิวสเตียรอยด์ สิวติดสาร อันเกิดจากที่ผู้ใช้ทาครีมนั้นอย่างต่อเนื่อง และหยุดใช้ครีม ส่งผลให้เกิดรูขุมขนอักเสบในบริเวณที่ทาอย่างเฉียบพลัน เกิดเป็นตุ่มนูนแดงคล้ายสิว แสบแดง ระคายเคืองได้ง่าย ผิวหน้าไม่แข็งแรง และทำให้เกิดสิวได้ง่าย ซึ่งอาการสิวสเตียรอยด์ สิวติดสาร จะใช้ระยะเวลานานกว่าการรักษาสิวปกติ เนื่องจากผิวมีความอ่อนแอ บอบบางและไวต่อสิ่งกระตุ้นมาก จึงทำให้ระยะเวลาการรักษานั้น อาจใช้เวลา 4-6 เดือนเป็นอย่างต่ำ จนไปถึง 12 เดือนได้เลย (แต่หายได้นะ ใช้เวลาหน่อย)

ปรอท (Mercury)

จะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ทำให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ลดลง จึงช่วยให้สีผิวขาวขึ้น นอกจากนี้ปรอทยัง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิด staphylococcus จึงป้องกันสิวได้ด้วย

สารประกอบของปรอททำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ เกิดฝ้าถาวร ผิวบางลง และเมื่อใช้ติดต่อกัน เป็นเวลานานจะทำให้เกิดพิษสะสมของสารปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแส โลหิต ทำให้ตับและไตอักเสบ เกิดโรคโลหิตจาง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ อีกทั้งในสตรีมีครรภ์ปรอทจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และไปสู่ทารก ทำให้เด็กมีสมองพิการและปัญญาอ่อน

ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)

เป็นสารที่สามารถใช้ในการรักษาฝ้าได้ในทางการแพทย์ ซึ่งต้องจ่ายยานี้โดยแพทย์เท่านั้น แต่ด้วยผลลัพธ์ในการรักษาฝ้าจึงทำให้หลายแบรนด์นั้นใส่สารนี้ลงไปด้วย  ไฮโดรควิโนนออกฤทธิ์โดยการยับยั้งกระบวนการทางเคมีของเซลล์สร้างเม็ดสี(melanocyte) โดยไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส(Tyrosinase)ที่ทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี(melanin) เมื่อปริมาณเม็ดสีลดลง จึงส่งผลให้ผิวขาวขึ้นได้ จากกลไกนี้ทำให้ยาไฮโดรควิโนนถูกนำมาใช้เป็นยาทารักษาผิวที่เป็นฝ้า กระ และจุดด่างดำ

ผลข้างเคียงของการใช้ไฮโดรควิโนน เกิดอาการแสบร้อน ตุ่มแดง และภาวะผิวคล้ำมากขึ้นในบริเวณที่ทา หากใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวร เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง ผู้ที่ได้รับยานี้เกินขนาดตัวยาจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีอาการสั่นหรือเกิดภาวะลมชักหรือกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ยาได้

กรดวิตามิน A (Retinoic Acid)

ยานี้มีบทบาทในการรักษาสิวโดยเฉพาะประเภทรุนแรง ช่วยควบคุมและยับยั้งการทำงานของต่อมไขมันในรูขุมขน จึงลดการเกิดสิวใหม่ คุมความมันบนใบหน้า แต่ยานี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น 
 เรตินอยด์(Retinoids) มีผลรบกวนกระบวนการสร้างเม็ดสี โดยมีกลไกการออกฤทธิ์คือกระตุ้นการแบ่งเซลล์และเร่งการผลัดเซลล์ของผิวในชั้นอิพิทีเรียล/เยื่อบุผิว (Epitherial) ลดการเคลื่อนย้ายเม็ดสีมาที่เซล์ลผิวหนังและยั้บยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีอีกด้วย นอกจากนี้ยังออกฤทธิ์กดการสร้างและป้องกันการสร้างสิวอุดตัน (Comedone) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวทั่วไป

ผลข้างเคียงในการใช้ คือ อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง ผิวหน้าลอก อักเสบ แพ้แสงแดดได้ง่าย อาจเกิดภาวะผิวด่างขาวหรือผิวคล้ำได้ชั่วคราวและอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

บทสรุป

จากที่พูดมาเราจะเห็นได้ว่า สารหลายตัวมีประโยชน์ในการรักษาโรคได้จริง แก้ปัญหาสิว ปัญหาผิว ฝ้า กระ ได้ แต่ทั้งหมดนั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่งั้นจะก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวหน้าของเราได้ ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสถานที่จำหน่ายที่มีหลักแหล่งน่าเชื่อถือ และก่อนตัดสินใจซื้อควรสังเกตุฉลากผลิตภัณฑ์ โดยฉลากต้องมีข้อความภาษาไทย ระบุข้อความอันจำเป็นครบถ้วน ได้แก่ ชื่อและชนิดของเครื่องสาอาง เลขที่ใบรับแจ้ง(เป็นเลข  10 หลัก) สารที่ใช้เป็นส่วนผสม วิธีการใช้ ชื่อที่ตั้งผู้ผลิต/ผู้นำเข้า ปริมาณสุทธิ เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต และคำเตือน